Error message

  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).

“ผมรู้สึกได้ถึงเงาของความตายที่ทาบทับลงมาบนตัวผม”

หมวดหมู่ : บล็อก

จดหมายจากแดนประหารในอิหร่าน: “ผมรู้สึกได้ถึงเงาของความตายที่ทาบทับลงมาบนตัวผม”

ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องราวของนักโทษประหารในอิหร่าน แต่จดหมายของฮาเหม็ด อามาดิ (Hamed Ahmadi) นักโทษซึ่งถูกประหารชีวิตเมื่อวันพุธที่ 4 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ได้เปิดเผยความจริงที่แสนเจ็บปวดของนักโทษประหารที่รอคอยความตายให้เราได้รับรู้

“มันจบแล้ว” ผู้คุมกล่าว ยืนยันว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว

ในอีกด้านหนึ่งของกำแพงในเรือนจำราจัยชาร์ เมืองคาราจ ทางตะวันตกของเตหะราน ร่างของชายชาวเคิร์ดหกคนถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ

ฮาเหม็ด อามาดิ จาฮานเกอร์ เดกกานิ แจมชีส เดกกานิ เคมอล โมลลาอี ฮาดิ โฮสเซอินี และซาดีก โมฮัมมาดิ ถูกตัดสินประหารชีวิตในปี 2555 หลังจากศาลตัดสินว่าทั้งหมดกระทำความผิดในข้อหา “เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า” ในปี 2556 ศาลฎีกาของอิหร่านยืนยันการตัดสินโทษประหารชีวิตถึงแม้ว่าผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มติดอาวุธ หรือกิจกรรมที่รุนแรงก็ตาม โดยผู้ต้องหาให้การว่าเหตุผลที่พวกเขาตกเป็นเป้าก็เพราะพวกเขากระทำในสิ่งที่พวกเขาศรัทธาเท่านั้น ซึ่งทางการยังได้ปฏิเสธการพิจารณาคดีใหม่อีกด้วย

ญาติๆ ของผู้ต้องหาต่างเป็นกังวลและคอยเฝ้าอยู่บริเวณประตูเรือนจำตลอดทั้งคืนเพื่อขอร้องให้ทางการยกเลิกการประหารชีวิต แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการร้องไห้ และผู้คุมยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางใส่อีกด้วย

พวกเขาบอกว่าคงช่วยอะไรไม่ได้แล้วนอกจากนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่จะพูดกับคนที่ตัวเองรัก

ตอนนี้สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือจดหมายของฮาเหม็ด อามาดิ ซึ่งได้บอกเล่าเรื่องราวที่เลวร้ายในห้าปีสุดท้ายของเขาในฐานะนักโทษประหาร

“ในเช้าวันที่อากาศหนาวเดือนพฤศจิกายนปี 2555 พวกเขาปลุกผมให้ตื่นและบอกกับผมว่าผมจะถูกย้ายไปอยู่ที่เรือนจำซานันดาจ จังหวัดคอร์เดสแทน ซึ่งตามปกติแล้วเหตุผลที่นักโทษจะถูกย้ายคือการไปรับโทษของตัวเองเท่านั้น และผมรู้สึกได้ถึงเงาของความตายที่ทาบทับลงมาบนตัวผม จากนั้นนักโทษในแดนที่ผมอยู่จึงมารวมตัวกัน ตอนนั้นมีนักโทษประหารทั้งหมด 10 คน บางคนร้องไห้ บางคนกำลังครุ่นคิดถึงบางอย่าง พวกเราพยายามคิดว่าเราแค่กำลังจะถูกย้ายเท่านั้น แต่ท่าทีของผู้คุมทำให้เราคิดต่างออกไป

พวกเขาปิดตาและใส่กุญแจมือพวกเราทั้ง 10 คน จากนั้นจึงผลักเราขึ้นรถบัสพร้อมทั้งตะโกนด่า ผมพยายามนึกถึงความทรงจำดีๆ เพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง แต่มันยากที่จะนึกถึงความสุขทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะก้าวไปหาความตายในไม่ช้า เมื่อเราไปถึง พวกเขาพาเราลงจากรถ และโยนสัมภาระของเราลงพื้น  ตอนนั้นฝนกำลังตก และพื้นก็เฉอะแฉะไปด้วยโคลน พวกเขาเปลี่ยนกุญแจมือของเราจากโลหะเป็นพลาสติก แต่ก็รัดมันแน่นมากจนเพื่อนนักโทษบางคนถึงกับเลือดออก จากนั้นพวกเราจึงถูกเปิดผ้าปิดตา และถูกนำตัวไปที่ห้องๆ หนึ่งซึ่งกำแพงเต็มไปด้วยลายมือของนักโทษประหารที่เคยถูกนำตัวมาที่นี่เพื่อรับโทษ จากนั้นพวกเราจึงชำระร่างกายเพื่อสวดมนต์

ตอนนั้นผมเริ่มคิดไปว่าผมจะมีโอกาสได้เจอลูกสาวอีกมั้ย เธอโชคร้ายที่เกิดมาตอนที่ผมไม่สามารถอยู่เคียงข้างเธอได้ ผมอ้อนวอนต่อพระเจ้าให้ประทานความเข้มแข็งให้แก่ครอบครัวของผม และหวังว่าอย่างน้อยผมจะได้บอกลาครอบครัว

ตอนที่ประตูเปิดออก หัวใจของพวกเราเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะฝันร้ายของความตายกำลังจะเป็นจริง พวกเขาแยกเราออกจากกัน  ตอนนั้นกำลังใจของพวกเราถดถอยและแทนที่ด้วยความกลัว และรู้สึกว่าเวลามันช่างเดินช้ามากกว่าที่เคย ในคืนนั้นได้มีการออกอากาศสารคดีเกี่ยวกับเราทางทีวี ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพวกเรากำลังจะโดนประหารชีวิตในอีกไม่ช้า

แต่เมื่อ 45 วันผ่านไป ทุกวันเราคิดว่าพรุ่งนี้เราจะต้องถูกประหารชีวิต แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น เราเข้าใกล้ความตายไป 45 ครั้ง เราบอกลาชีวิตไปแล้ว 45 ครั้ง

จนกระทั่งเรารู้สึกมีความหวังว่าเราจะไม่ถูกประหารชีวิต และเริ่มคิดถึงการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง แต่ในที่สุดชื่อของเราก็ถูกขานในรายชื่อของนักโทษที่จะถูกย้ายไปที่เรือนจำราจัย ชาร์ ซึ่งมันเป็นการกลับมาอีกครั้งของฝันร้าย และภาพของคนที่ถูกแขวนคอ และที่นั่นพวกเขาให้เราสวมชุดสีฟ้าอ่อน ซึ่งเป็นชุดของนักโทษที่กำลังจะถูกประหารชีวิต ภาพตอนที่ผมถูกประหารอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา แต่แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกสามวัน

ผมเริ่มสับสนไปหมด หัวสมองผมมันไม่ตอบสนองอะไรแล้ว

ผมทุบประตูไม่หยุด และตะโกนถามเผื่อใครสักคนจะตอบผมได้ว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่ ครอบครัวของเรากำลังเป็นห่วง อย่างน้อยก็ให้ผมได้โทรศัพท์ก็ยังดี และในที่สุดผมก็ได้โทรหาน้องสาว และเธอร้องไห้ทันทีที่ได้ยินเสียงผม เธอถามผมว่า ผมยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย เพราะคนของทางการโทรมาบอกว่าพวกผมทั้ง 10 คนถูกประหารชีวิตไปแล้ว และได้มีการจัดงานศพให้กับพวกเราด้วย จากนั้นผมจึงโทรหาพี่ชายซึ่งอยู่หน้าเรือนจำ และถามถึงนักโทษอีก 6 คน ที่ไม่ได้อยู่กับพวกผม พี่ชายของผมร้องไห้และบอกว่า หกคนนั้นถูกประหารชีวิตไปหมดแล้ว และไม่มีการคืนศพให้กับญาติ ในตอนนั้นผมควบคุมตัวเองไม่ได้ และเริ่มร้องไห้พร้อมทั้งตะโกน เพราะคนที่ผมอยู่ด้วยในห้องขังตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่านมาไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองแตกเป็นเสี่ยงๆ หกคนนั้นไม่มีใครมีโอกาสได้บอกลาครอบครัวเลยสักคน

ความตายติดตามตัวผมและครอบครัวตลอดเวลา เหมือนครอบครัวผมถูกประหารชีวิตพร้อมๆ กับผมครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าพวกเขาไม่ได้ข่าวจากผมแค่วันเดียว พวกเขาจะต้องมาที่เรือนจำทันทีเพราะคิดว่าผมคงตายไปแล้ว เราต้องทนอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนกับถูกแขวนคออยู่ตลอดเวลา”

ถ้อยคำในจดหมายฉบับนี้คือคำพูดสุดท้ายที่ฮาเหม็ด อามาดิ ฝากถึงญาติของเขา ถึงแม้มันจะดูน่าตกใจแต่มันก็เป็นเรื่องปกติ

อิหร่านเป็นประเทศที่มีการประหารชีวิตมากที่สุดในโลกรองจากจีน แค่เฉพาะในปี 2556 ทางการของประเทศอิหร่านได้ยืนยันตัวเลขของการประหารชีวิตนักโทษที่ 369 คน แต่ตัวเลขจริงๆ นั้นเชื่อว่าน่าจะมากกว่า 700 คน เพราะมีการประหารชีวิตที่กระทำอย่างลับๆ หรือไม่ได้รับการรายงานอยู่มากมาย

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประหารชีวิตนั้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ หรือชนกลุ่มน้อย ที่ได้รับการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรม และมักจะรับสารภาพจากการถูกทรมานและถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย ในอีกไม่ถึงเดือนอิหร่านจะเข้ายืนยันจุดยืนของประเทศต่อหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ ในกรณีที่อิหร่านได้รับคำแนะนำช่วงที่มีการประชุมรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน หรือ UPR เพื่อปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายในประเทศ ซึ่งมันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทางการอิหร่านจะจริงจังแค่ไหนกับจุดยืนของตัวเอง เพราะคำพูดโอ้อวดในที่ประชุมยูเอ็น กับการละเมิดสิทธิมนุษชนในประเทศมันช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน 

Letter from the gallows in Iran: “I felt the shadow of execution over my head”

 

ป้ายคำ: 

  • อิหร่าน
  • โทษประหารชีวิต
  • จดหมายนักโทษ
  • แอมเนสตี้ อินเตอร์นชั่นแนล