The Last Executioner
จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์
กรรมการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
จำได้ว่าเมื่อปีที่แล้ว พลาดที่ไม่ได้ไปดูหนังเรื่องนี้ ปีนี้ ทางคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และสถานทูตฝรั่งเศส จัดฉายหนังอีกครั้ง เลยรีบขอไปดูอย่างไม่ลังเล
หนังเป็นหนังที่มากกว่าการป็นหนัง นำอัตชีวประวัติของเพชฌฆาตคนสุดท้ายที่ลงโทษนักโทษเด็ดขาด (ตามคำพิพากษา) ด้วยการยิงด้วยปืน เป็นการจบการลงโทษประหารชีวิตด้วยวิธีการยิงเป้าในประเทศไทยไปเมื่อปี 2546
ชีวิตส่วนตัวของคุณเชาวเรศน์ จารุบุณย์ถูกเล่าออกมาเพื่อให้เห็นความเป็น "มนุษย์" เริ่มต้นแต่ชีวิตวัยเด็กจนถึงวาระสุดท้าย หนังขับเน้นชีวิตความเป็นนักดนตรี สามี พ่อ และเพชฌฆาตให้เห็นเท่าๆ กับการตั้งคำถามถึงการมีอยู่และประโยชน์ของโทษประหารชีวิตไปพร้อมกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมกับบรรจุความเชื่อเรื่อง "จิตวิญญาณ" ในสังคมไทยเข้าไปในสัดส่วนที่กลมกล่อมอย่างที่สุด เป็นมุมมองที่ละเอียดและลึกซึ่ง ซึ่งมาจากสายตายคนนอกระบบสังคมไทยจากผู้กำกับชาวต่างชาติ
ในความเป็นมนุษย์ที่มีหน้าที่สังหารคนในนามของความยุติธรรม หนังเรื่องนี้ตั้งคำถามเอาไว้ได้อย่างดี สอดคล้องกับฐานคติส่วนตัวที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย ซึ่งเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยไม่มีประสิทธิภาพพอในการค้นหาความจริงได้เลย มิหนำซ้ำ กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยในเชิงป้องกันอาชญากรรมและการปรับปรุงพฤติกรรมผู้กระทำความผิดเพื่อคืนสู่สังคม ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
เรื่องนี้ก็ขอกราบเท้างามๆ หลายๆ ทีกับ "ดวงใจ หิรัญศรี" ที่รับบทเป็นนักโทษหญิงที่ถูกประหารชีวิต ไม่กี่ฉากที่นางปรากฏกายในหนัง สั่นสะเทือนต่อภาพรวมของหนังอย่างที่สุด ซึ่งส่วนตัวก็เชื่อว่า ไม่มีนักแสดงหญิงคนไหนในประเทศนี้อีกแล้วที่เหมาะสมกับบทบาทนี้ และนางก็ถ่ายทอดออกมาได้ทิ่มแทงความรู้สึกเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นจุดสำคัญของเรื่องด้วย ที่ทำให้คุณเชาว์ตั้งคำถามกับตัวเองเป็นครั้งแรก ว่าสิ่งที่ทำลงไปถูกต้องแล้วหรือไม่
ในโลกของศตวรรษที่ ๒๑ ประชาคมโลกก้าวหน้ามากพอในแนวความคิดและภาคปฏิบัติ ในการลงโทษผู้กระทำความผิด ด้วยการกีดกันผู้กระทำความผิดร้ายแรงให้ออกไปจากสังคม เพื่อหวังผลในการระงับหรือป้องกันอาชญากรรมนั้นไม่ให้เกิดขึ้นอีก ซึ่งวิธีการเดิมที่นิยมใช้กันในอดีตนั่นก็คือการประหารชีวิต
แต่การประหารชีวิตไม่ได้ประกันความยุติธรรมใดๆ ได้เลย ทั้งกับสังคมและผู้เสียหาย และยังสร้างปัญหาให้ตกอยู่กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ซึ่งถูกประหารชีวิตอีก เป็นอาชญากรรมโดยรัฐที่ซ้อนอาชญากรรมเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เป็นเหยื่อซ้อนเหยื่อ
เนื่องในวันที่ ๑๐ ตุลาคม เป็นวันรณรงค์เพื่อยุติโทษประหารชีวิต เป็นวันที่ทำให้เราต้องกับมานั่งทบทวนกันด้วยเหตุด้วยผลที่สร้างสรรค์ ว่าเราจะอยู่ร่วมกันในสังคมหนึ่งๆ ให้ปลอดภัยด้วยกันได้อย่างไร บนโจทย์ที่ต้องรับกันว่า อาชญากรรมเกิดขึ้นได้เสมอ ต้องไม่มีเหยื่อจากอาชญากรรมและโทษประหารชีวิตไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง
หวังว่าสังคมไทยจะมีวุฒิภาวะสูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆไปกับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สังคมสงบสุขได้อย่างแท้จริง