Error message

  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).
  • Deprecated function: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in _filter_pubdlcnt() (line 50 of /home/amnestyo/domains/amnesty.or.th/public_html/old/sites/all/modules/contrib/pubdlcnt/pubdlcnt.module).

อัพเดทสถานการณ์คุณแม่ลูกสองชาวซูดาน ที่ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตข้อหาละทิ้งศาสนา

หมวดหมู่ : ข่าวสิทธิมนุษยชน
Photograph: theguardian.com

มีเรียม ยาเฮีย อิบราฮิม อิชัก คุณแม่ลูกสองวัย 27 ปี ที่ถูกศาลซูดานตัดสินประหารชีวิตข้อหาละทิ้งศาสนาเมื่อเธอแต่งงานกับสามีที่เป็นคริสเตียน เพียงหนึ่งวันหลังจากนั้น เธอถูกควบคุมตัวโดยหน่วยข่าวกรองของซูดานพร้อมสามีและลูกอีกสองคนที่สนามบินคาทูม ขณะที่เธอและครอบครัวกำลังเตรียมเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา

ล่าสุด! ถึงแม้มีเรียมจะไม่ต้องถูกจำคุกแล้ว แต่ก็ไม่สามารถออกนอกซูดานได้ ขณะนี้เธออาศัยอยู่ในสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำซูดาน และถูกตัดสินให้มีความผิดในข้อหาปลอมแปลงเอกสารการเดินทางเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ซึ่งเธอได้รับการประกันตัวแล้วแต่ยังไม่สามารถเดินทางได้จนกว่าจะมีการปิดคดี

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจะติดตามกรณีของมีเรียมต่อไปจนกว่าเธอจะได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง โดยเราจะสนับสนุนในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ การยุติโทษประหารชีวิต รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในซูดาน โดยแอมเนสตี้ อินตอร์เนชั่นแนลมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลซูดานดังนี้

  • เรียกร้องให้ยกเลิกการลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี
  • เรียกร้องให้ยกเลิกการตั้งข้อหาต่อกรณีประชาชนละทิ้งศาสนาเดิม หรือมีการนอกใจ
  • เรียกร้องให้ระงับใช้โทษประหารชีวิตเป็นการชั่วคราวเพื่อเป็นก้าวแรกสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยสมบูรณ์
  • เรียกร้องให้ยกเลิกการใช้ความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติทางเพศ

มีเรียม อิบราฮิม ถูกจับอีกหลังได้รับการปล่อยตัวหนึ่งวัน

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2557 มีเรียมถูกจับพร้อมสามีและลูกอีก 2 คนของเธอที่สนามบินคาทูมหลังจากที่เธอถูกปล่อยตัวได้หนึ่งวันขณะที่เธอและครอบครัวกำลังเตรียมเดินทางออกนอกประเทศ

เจ้าหน้าที่จากหน่วยข่าวกรองความมั่นคงแห่งชาติของซูดานจับกุมเธอตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ซึ่งจากคำให้การของทนายของมาเรียม ในวันที่มาเรียมโดนจับ มีเจ้าหน้าที่มากกว่า 40 คนพยายามขัดขวางไม่ไห้มาเรียมได้ขึ้นเครื่องไปอเมริกา

“มันน่าผิดหวังอย่างมาก พวกเขาดูโกรธและพาครอบครัวของผมออกมาข้างนอก แล้วควบคุมตัวมีเรียมและครอบครัวไปอยู่สถานที่คุมขังของหน่วยงานข่าวกรองฯ  และไม่อนุญาตให้พวกเขาได้พบทนาย” เอลชารีฟ โมฮัมหมัด ทนายของมีเรียม กล่าว

ศาลอุทธรณ์ได้เพิกถอนคำตัดสินของคดีมาเรียมแต่ไม่ได้มีการห้ามไม่ให้มาเรียมเดินทางแต่อย่างใด ซึ่งทนายของมาเรียมสันนิฐานว่าความเห็นที่แตกต่างกันในรัฐบาลต่อคดีของมาเรียมอาจส่งผลทำให้มีการขัดขวางไม่ให้เธอออกนอกประเทศ  “ผมกังวลอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาลไม่ให้ความเคารพต่อศาลแล้ว พวกเขาอาจทำอะไรอย่างอื่นอีกก็ได้”

คืนวันที่ 24 มิถุนายน 2557 หลังจากที่มาเรียมถูกจับ เธอถูกย้ายจากสถานที่คุมขังที่หน่วยข่าวกรองฯ ไปที่สถานีตำรวจเพื่อสอบปากคำเกี่ยวกับเอกสารของเธอ ซึ่งขณะนี้มีเรียมอยู่ภายใต้การสืบสวนโดยที่ยังไม่ได้ถูกตั้งข้อหาอะไรทั้งสิ้น สามีและลูกๆ ของเธอยังอยู่กับเธอและไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิดเช่นกัน

ด้านสหรัฐอเมริกา โฆษกหญิงของกระทรวงการต่างประเทศ มารี ฮาฟ ได้ออกมาบอกว่า มาเรียมนั้น “ถูกคุมขังเป็นการชั่วคราว ซึ่งยังไม่ถือเป็นการจับกุม รัฐบาลประเทศซูดานได้ให้ความมั่นใจแก่เราว่าจะดูแลให้เธอปลอดภัย และเราก็จะพยายามช่วยครอบครัวนี้ผ่านทางการร่วมมือกับรัฐบาลซูดาน”

การควบคุมตัวมีเรียมเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทนายของเธอได้เผยแพร่รูปการกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งของมีเรียมและครอบครัวหลังจากที่เธอติดคุกนาน 4 เดือน และระหว่างที่เธอติดคุก มีเรียมได้คลอดลูกสาวในคุกอีกด้วย

ศาลตัดสินให้เธอมีความผิดในข้อหาละทิ้งศาสนาอิสลามเพราะว่าพ่อของเธอเป็นมุสลิม ถึงแม้ว่าเธอจะยืนยันว่าเธอเป็นคริสเตียนมาตั้งแต่เด็กแล้วเพราะพ่อของเธอทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เธออายุได้ 6 ขวบ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญาของซูดาน คนที่นับถือศาสนาอิสลามไม่สามารถเปลี่ยนศาสนาได้ และผู้หญิงมุสลิมนั้นมีข้อห้ามในการแต่งงานกับผู้ชายที่เป็นคริสเตียนด้วย  

หลังจากศาลตัดสินคดีของเธอเมื่อเดือนที่แล้ว เธอได้เวลาสามวันในการตัดสินใจว่าจะกลับมานับถือศาสนาอิสลามหรือต้องโดนประหารชีวิต ซึ่งมีเรียมตัดสินใจที่จะไม่กลับไปนับถือศาสนาอิสลามและบอกกับศาลว่า “ฉันเป็นคริสเตียนและก็ไม่ได้เป็นคนที่ละทิ้งศาสนา”  

นอกจากนี้ ตามข้อมูลของสำนักข่าวฝรั่งเศส เมื่อวานทางการซูดานได้ทำการปิดตัวองค์กรเพื่อสิทธิสตรีที่เปิดทำการมา 17 ปี โดยไม่มีคำอธิบายหรือการบอกกล่าวใดๆ

คุณแม่ลูกสองในซูดานได้รับการปล่อยตัวแล้ว

23 มิถุนายน 2557 ข่าวดี! พลังจากคนธรรมดานับล้านคนทั่วโลกที่ร่วมส่งจดหมายถึงรัฐบาลซูดาน จนในที่สุดมีเรียม ยาเฮีย อิบราฮิม อิชัก คุณแม่ลูกสองวัย 27 ปี ที่ถูกศาลซูดานตัดสินประหารชีวิตข้อหาละทิ้งศาสนา หลังจากที่แต่งงานกับสามีที่เป็นคริสเตียน ได้รับการปล่อยตัวและศาลได้ยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดแก่เธอ

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมส่งกำลังใจและร่วมลงชื่อในการรณรงค์ที่ผ่านมา เพียงแค่หนึ่งรายชื่อ หนึ่งคลิ๊กที่เรากดส่งคำร้องไปถึงรัฐบาลซูดาน เมื่อรวมกับพลังของผู้คนอีกทั่วโลก ทำให้พวกเราได้ช่วยชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้เด็กสองคนไม่ต้องกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเล็ก และช่วยทำให้ครอบครัวนี้กลับมาเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์อีกครั้ง


แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องยกเลิกการประหารชีวิตคุณแม่ลูกสองในซูดาน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แคนาดาเชิญชวนร่วมลงชื่อที่ http://bit.ly/1op9EaW เพื่อช่วยเหลือ     มีเรียม ยาเฮีย อิบราฮิม อิชัก หญิงชาวซูดานวัย 27 ปี ที่ถูกศาลซูดานตัดสินประหารชีวิตโทษฐานที่เธอเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ หลังจากที่แต่งงานกับสามีที่เป็นคริสเตียน โดยเธอตั้งครรภ์ในขณะที่รอรับโทษประหารชีวิตและเพิ่งคลอดลูกในโรงพยาบาลของ เรือนจำเมื่อเช้าวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557  ศาลซูดานตัดสินประหาร ชีวิตด้วยการแขวนคอนางมีเรียม ยาเฮีย อิบราฮิม อิชัก หญิงชาวซูดานวัย 27 ปี ซึ่งตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน ในข้อหาละทิ้งศาสนาจากการที่เธอเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ หลังจากที่แต่งงานกับสามีที่เป็นคริสเตียน

ทั้งนี้ศาลได้ให้เวลานางมีเรียมเพื่อตัดสินใจเปลี่ยนกลับมานับถือศาสนา อิสลามเป็นเวลา 4 วัน แต่เธอก็ยังยืนยันจะนับถือศาสนาคริสต์ต่อไป โดยศาลยังสั่งเฆี่ยนเธอ 100 ทีด้วย ในความผิดฐานที่เธอแต่งงานและมีเพศสัมพันธ์กับชายที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิส ลาม

ขณะที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ได้ติดตามเรื่องราวของนางมีเรียมมาตลอด ระบุว่านางมีเรียมนั้นนับถือศาสนาคริสต์มาตั้งแต่แรก ไม่ได้มาเปลี่ยนภายหลังการแต่งงาน โดยพ่อของเธอนั้นเป็นชาวซูดาน ขณะที่แม่ของเธอป็นชาวเอธิโอเปีย นับถือศาสนาคริสต์ นิกายออธอดอกซ์ แต่เนื่องจากพ่อของเธอทอดทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เธออายุได้ 6 ปี ทำให้ได้รับการเลี้ยงดูจากแม่มาตลอด

แต่ศาลซูดานเห็นว่า นางมีเรียมต้องนับถือศาสนาอิสลาม ตามศาสนาของผู้ที่เป็นพ่อ ซึ่งศาลถือว่ามีเรียมนับถือศาสนาอิสลามมาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์แต่งงานกับคนนอกศาสนา

คำตัดสินดังกล่าวทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ แคนาดา เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ได้ออกแถลงการณ์ประณาม พร้อมกับแนะนำให้ทางการซูดานทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง ขณะเดียวกันชาวซูดานกว่า 50 คน ก็ได้ออกมารวมตัวด้านหน้าศาล พร้อมกับชูป้ายประท้วงต่อต้านคำตัดสินในครั้งนี้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีเรียมได้ให้กำเนิดทารกเพศหญิงในโรงพยาบาลเรือนจำใกล้กรุงคาร์ทูมแล้ว อย่างไรก็ตามเธอได้รับอนุญาตให้ดูแลลูกของเธอเป็นเวลา 2 ปีก่อนที่จะมีการลงโทษประหารชีวิตเธอด้วยการแขวนคอ นอกจากนั้นมีเรียมยังมีลูกชายวัย 20 เดือนอยู่กับเธอด้วยขณะที่เธอถูกจองจำอยู่ในคุกตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ซูดานมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมซึ่งใช้กฎหมายอิสลามบริหารประเทศ

คุณสามารถช่วยชีวิตคุณแม่ลูกสองคนนี้ได้ โดยร่วมลงชื่อเพื่อเรียกร้องรัฐบาลซูดานให้ยกเลิกการประหารชีวิตเธอได้ที่ http://bit.ly/1op9EaW