แอมเนสตี้เรียกร้องทุกฝ่ายต้องให้ความคุ้มครองพลเรือนจากความขัดแย้งในกาซ่า
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้ทางการอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในกาซ่า รวมถึงกองกำลังของกลุ่มฮามาส ต้องให้การคุ้มครองชีวิตของพลเรือน ซึ่งขณะนี้ความขัดแย้งจากทั้งสองฝ่ายมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
ฟิลิป ลูเธอร์ ผู้อำนวยการภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ขัดแย้งทุกฝ่ายมีพันธะกรณีในเงื่อนไขของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยมีหน้าที่คุ้มครองชีวิตของพลเรือนที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลผลักดันให้ทหารของอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ รวมถึงกองกำลังของกลุ่มฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ เคารพกฎหมายว่าด้วยการสงคราม โดยอิสราเอลต้องโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้นและต้องมีมาตรการในการเตือนระดับสูงสุดต่อการโจมตีที่จะเกิดขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อพลเรือน และการทำลายบ้านเรือน รวมถึงอาคารของพลเรือน การโจมตีทางอากาศโดยไม่ระบุเป้าหมายในพื้นที่อยู่อาศัยที่หนาแน่น หรือโจมตีบ้านของพลเรือนโดยตรงทำให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตของพลเรือน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ”
อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการปกป้องชายแดน (Operation Protective Edge) ในช่วงกลางคืน โดยโจมตีไม่น้อยกว่า 50 ครั้ง ไปที่ฉวนกาซ่า และมีการโจมตีทางอากาศอีกหลายครั้งในตอนเช้า มีรายงานว่าประชาชนไม่น้อยกว่า 50 คนในที่นี้รวมถึงเด็กได้รับบาดเจ็บในกาซ่าจากการโจมตีโดยทหารอิสราเอล ทางกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในกาซ่าได้ตอบโต้อิสราเอลด้วยการยิงจรวดโดยไม่ระบุเป้าหมายไปทางตอนใต้ของอิสราเอลเมื่อเร็วๆ นี้ และมีปฏิบัติการที่ต่อเนื่องในวันอังคาร (8 ก.ค.) ที่ผ่านมา
จากข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล จนถึงตอนเช้าของวันอังคารที่ 8 กรกฎาคม กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ได้ยิงจรวดไม่ต่ำกว่า 240 ลูก จากกาซาไปที่ตอนใต้ของอิสราเอลตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งทางแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ประณามการยิงจรวดโดยไม่ระบุเป้าหมายในครั้งนี้ เพราะการยิงจะไม่สามารถโจมตีเป้าหมายทางทหารได้อย่างแม่นยำ
“การที่กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ยิงจรวดโดยไม่ระบุเป้าหมายถือเป็นอาชญากรรมสงคราม โดยเป็นอันตรายต่อพลเรือนทั้งสองฝ่าย ทั้งที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนกาซ่าและอิสราเอล การยิงจรวดโดยไม่ระบุเป้าหมายจากกลุ่มติดอาวุธต้องยุติลงทันที”
“พลเรือนของทั้งกาซาและอิสราเอลประสบกับความโหดร้ายมามากพอแล้วจากการนองเลือดและชีวิตที่สูญเสียไปโดยใช่เหตุซึ่งไม่มีการรับผิดชอบใดๆ จากรายงาน ทั้งสองฝ่ายมีการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมในระหว่างที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น” ฟิลิป ลูเธอร์ กล่าว
ทหารอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดในการก่ออาชญากรรมสงคราม และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอื่นๆในระหว่างการโจมตี โดยเฉพาะในช่วงปฏิบัติการเสาค้ำเมฆา หรือ Pillar of Defense เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 และในช่วงปฏิบัติการคาสต์ ลีด (Cast Lead) ระหว่างเดือนธันวาคม 2551 ถึงเดือนมกราคม 2552 มาลงโทษได้
ในช่วงนี้ที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นอีกครั้งและความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าจากทั้งสองฝ่ายต่อการรับผิดชอบในเรื่องสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงได้เรียกร้องให้นานาชาติยกเลิกการขายอาวุธให้แก่อิสราเอล กลุ่มฮามาส และกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่า
“ทุกประเทศควรระงับการส่งอาวุธให้กับอิสราเอล กลุ่มฮามาส และกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในกาซ่า ทุกประเทศควรแสดงจุดยืนของตัวเองในการไม่สนับสนุนการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่มากไปกว่านี้” ฟิลิป ลูเธอร์ กล่าว
ข้อมูลพื้นฐาน
ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นจากการที่วัยรุ่นชาวอิสราเอล 3 คนถูกฆ่า ซึ่งต่อมาการแก้แค้นเกิดขึ้นจากการที่วัยรุ่นชาวปาเลสไตน์ถูกฆ่าในเวสต์แบงก์ด้วยเช่นกัน และนำมาซึ่งความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในที่สุด
ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ กลุ่มผู้ขัดแย้งต้องแยกระหว่างเป้าหมายทางทหาร พลเรือน และทรัพย์สินของพลเรือน โดยโจมตีโดยตรงเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น การโจมตีโดยไม่ระบุเป้าหมายถือเป็นเรื่องที่ผิด โดยทุกฝ่ายควรมีความระมัดระวังในการโจมตีเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายต่อพลเรือนและทรัพย์สินของพลเรือน และกลุ่มผู้ขัดแย้งทุกฝ่ายควรปกป้องพลเรือนของตนเองให้ดีที่สุดต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตี
***แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลร่วมรณรงค์ยุติการใช้ความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ โดยเขียนคำว่า “หยุด” บนมือของคุณเป็นภาษาใดก็ได้ ถ่ายรูป และอัพโหลดลงเฟสบุค โดยใส่แฮชแท็ก #CiviliansUnderFire และ #AmnestyThailand