ทำความรู้จัก 10 นักกีฬา “ทีมผู้ลี้ภัย” ในโอลิมปิก 2016

ทำความรู้จัก 10 นักกีฬา “ทีมผู้ลี้ภัย” ในโอลิมปิก 2016

“โอลิมปิก” ที่เราคุ้นเคยกันก็คือมหกรรมการแข่งขันกีฬาหลากหลายประเภทของนักกีฬาทั่วทุกมุมโลก เพื่อนำรางวัลและเกียรติภูมิกลับไปยังประเทศบ้านเกิด แต่โอลิมปิกที่ริโอเดอจาเนโรครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะมีนนักกีฬากลุ่มหนึ่งที่ไม่มีทีมชาติ ธงชาติ เพลงชาติ หรือแม้แต่บ้าน เข้าร่วมชิงชัยด้วย พวกเขาคือ “ทีมผู้ลี้ภัย”

          ริโอ 2016 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวมทีมผู้ลี้ภัยเข้ามา นักกีฬาเหล่านี้ต่างเป็นผู้ลี้ภัยที่ต้องหนีจากประเทศบ้านเกิดเพื่อหนีภัยสงคราม ปัจจุบัน พวกเขาอาศัยและฝึกซ้อมอยู่ในต่างประเทศ และได้รับการคัดเลือกตามมาตรฐานของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) โดยมีผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 10 คน ได้แก่

          โยนาส คินเด นักวิ่งมาราธอนวัย 36 ปีจากเอธิโอเปีย เปิดเผยว่า “ผมเคยแข่งชนะมาหลายครั้งแต่ผมไม่มีสัญชาติเพื่อที่จะเข้าร่วมโอลิมปิกหรือการแข่งขันระดับภูมิภาคในยุโรป ผมจึงทำได้แค่ฝึกซ้อมให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้มันเป็นข่าวที่ดีและมีความสำคัญมากเมื่อนักกีฬาผู้ลี้ภัยสามารถเป็นส่วนหนึ่งของโอลิมปิกได้ในฐานะทีมผู้ลี้ภัย”

          ด้าน โทมัส บัค ประธาน IOC เปิดเผยวัตถุประสงค์ของการมีทีมผู้ลี้ภัยในโอลิมปิกว่าเพื่อเป็นความหวังให้กับผู้ลี้ภัยทั่วทุกมุมโลก ตลอดจนดึงดูดให้คนทั่วโลกให้สนใจปัญหาผู้ลี้ภัยมากยิ่งขึ้นด้วย

          “สิ่งนี้จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของผู้ลี้ภัยทุกคนบนโลก และช่วยให้ผู้คนทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของวิกฤตผู้ลี้ภัยมากขึ้น มันยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังประชาคมโลกด้วยว่าผู้ลี้ภัยก็เป็นเพื่อร่วมโลกของพกวกเราและเป็นส่วนที่จะช่วยให้สังคมของเรางดงามมากขึ้น นักกีฬาผู้ลี้ภัยเหล่านี้จะแสดงให้โลกได้เห็นว่าท่ามกลางโศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวงที่พวกเขาต้องประสบ พวกเขาสามารถมีส่วนช่วยเหลือสังคมได้ด้วยพรสวรรค์ ทักษะ และจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์อันเข้มแข็ง” โทมัส บัค กล่าว

          โยลองด์ บูกาซา มาบิกา นักยูโดที่หนีสงครามกลางเมืองในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกมายังบราซิล ต้องการส่งสารถึงผู้ลี้ภัยทั่วโลกทุกคนว่า “อย่าสิ้นหวัง จงเชื่อมั่นอยู่เสมอ และจงมีศรัทธาในหัวใจ พวกเราผ่านความทุกข์ทรมานในคองโกมามากมาย และมันยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จนถึงทุกวันนี้ ผู้ลี้ภัยทั่วทุกมุมโลกต่างยังต้องทุกข์ทรมานจากการสูญเสียคนในครอบครัวจากสงครามและการเข่นฆ่า”