Amnesty International Thailand © 2014 All Right Reserved
12 ปีที่คุณอังคณา นีละไพจิตร และลูกๆ อีก 5 คนไม่ได้พบหน้าทนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมและรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาทนายความ และที่สำคัญกว่านั้นคือ “สามี” และ “พ่อ” ของครอบครัว เหลือไว้ก็เพียงแต่ความโศกเศร้า คำถาม และคดีความที่จบลงด้วยการพ่ายแพ้
ก่อนหายตัวไป “ทนายสมชาย” ว่าความให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่อ้างว่าถูกทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้รับสารภาพ จนกระทั่งคืนวันที่ 12 มีนาคม 2547 ไม่มีใครพบทนายสมชายอีกเลย [1]หลังจากที่แยกตัวกับเพื่อนทนายย่านรามคำแหง หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวนีละไพจิตรเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นตำรวจ 5 นาย โดย 1 ในนั้นคือตำรวจที่ลูกความของทนายสมชายกล่าวหาว่าทรมานผู้ต้องสงสัย
ในขณะที่ความหวังที่จะได้พบเจอกับทนายสมชายอีกครั้งริบหรี่ลงเรื่อยๆ โอกาสครั้งสำคัญที่ครอบครัวนีละไพจิตรจะได้รับรู้รสชาติความยุติธรรมก็หมดลงเช่นกัน หลังศาลฎีกาตัดสินเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 [2] ยกฟ้องคดีต่อตำรวจทั้ง 5 นาย โดยระบุว่าพยานหลักฐานขาดความน่าเชื่อถือ พร้อมกับไม่อนุญาตให้คุณอังคณาและลูกๆ เป็นโจทก์ร่วม
แม้ครอบครัวนีละไพจิตรจะได้รับข้อมูลว่าทนายสมชายถูกทรมานจนเสียชีวิต แต่กลับไม่มีหน่วยงานรัฐไหนที่รายงานอย่างเป็นทางการได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทนายคนสำคัญของไทยเมื่อ 12 ปีก่อน
“ความจริง” ยังคงหลบซ่อนอยู่ในมุมมืดที่ใดสักแห่งในสังคมไทย ร่วมกันใช้โอกาสครบรอบ 12 ปีการหายตัวไปของทนายสมชายเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องนำความยุติธรรมมาสู่ทนายสมชาย ครอบครัวนีละไพจิตร ตลอดจนผู้ที่คาดว่าถูกบังคับให้สูญหายคนอื่นๆ ต่อไปด้วย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทุกคนให้...
-สอบสวนการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร และผู้ที่คาดว่าถูกบังคับให้สูญหายทุกคนในประเทศไทย อย่างเป็นอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นไปได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุ้มหายในกรณีต่างๆ
-ผ่าน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคลให้สูญหาย พ.ศ. .... โดยที่เนื้อหาต้องสอดคล้องกับ อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี [3] และ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ [4] ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้การทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นความผิดทางอาญาอย่างชัดเจนตามนิยามในอนุสัญญาฉบับดังกล่าวด้วย
-ให้สัตยาบันต่อ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ และบังคับใช้กฎหมายในประเทศให้สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว
-ระบุที่อยู่และชะตากรรมของผู้ที่คาดว่าถูกบังคับให้สูญหายและรับประกันว่าจะนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
-รับประกันว่าผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและครอบครัวจะได้รับการเยียวยาอย่างเต็มที่
Links
[1] https://somchaiaward.wordpress.com/2007/03/06/2nd_1/
[2] https://www.amnesty.or.th/news/press/723
[3] http://www.ohchr.org/EN/ProfessionalInterest/Pages/CAT.aspx
[4] http://www.ohchr.org/EN/HRBodies/CED/Pages/ConventionCED.aspx
[5] http://change.org/12YearsSomchai
[6] http://old.amnesty.or.th/sites/default/files/attachments/160308_briefing_thnaaysmchaay.pdf