Amnesty International Thailand © 2014 All Right Reserved
27 เมษายน ทหารนำกำลังบุกค้นบ้านของ 8 ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพจ “เรารักพล.อ.ประยุทธ์” ทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาฐานยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยทั้งหมดต้องขึ้นศาลทหารในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ซึ่งอาจเป็นการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรม หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง พวกเขาอาจติดคุกอย่างน้อย 12 ปี จากการล้อเลียนนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
แม้ทั้ง 8 คนจะได้รับประกันตัวในวันที่ 11 พฤษภาคม แต่ 2 ใน 8 คือ “ณัฏฐิกา วรธัยวิชญ์” และ “หฤษฏ์ มหาทน” ถูกจับอีกรอบฐานหมิ่นสถาบันกษัตริย์ตามมาตรา 112 จากการพูดคุยกันผ่านข้อความส่วนบุคคลบนเฟซบุ๊ก แน่นอนว่าทั้งคู่ต้องขึ้นศาลทหารอีกเช่นกัน และอาจต้องโทษจำคุกเพิ่มอีกคนละ 3 ปี
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทยอีกต่อไป บ่อยครั้งที่ความมั่นคงและการปกป้องสถาบันกษัตริย์ถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการลงโทษผู้ที่เห็นต่างผ่านการพิจารณาคดีโดยศาลทหาร โดยนับตั้งแต่ทหารเข้ายึดอำนาจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มีคนไทยอย่างน้อย 38 คนที่ถูกควบคุมตัว ตัดสินลงโทษ หรือถูกตั้งข้อหา เพียงเพราะแสดงความเห็นอย่างสงบผ่านเฟซบุ๊ก ทำให้จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ถูกจับกุมในปี 2559 จนถึงตอนนี้เท่ากับปี 2558 รวมกันทั้งปีแล้ว
“พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” [1] ฉบับปัจจุบันถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการลงโทษผู้ที่แสดงความเห็นอย่างสงบบนโลกออนไลน์ ยิ่งไปกว่านั้น ทางการไทยยังพยายามที่จะผ่าน “ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์” ซึ่งเต็มไปด้วยมาตรการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพออนไลน์มากมาย เช่น การดักจับข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต การเซ็นเซอร์เนื้อหาบางอย่างบนเฟซบุ๊ก การระงับการเผยแพร่ข้อความโดยไม่ต้องขอหมายศาล การลงโทษผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นไปตามมาตรการจำกัดสิทธิที่สามารถกระทำได้ (permissible restrictions) [2] ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศแม้แต่น้อย
ขณะที่เฟซบุ๊กเองกลับไม่ได้เป็นหลักประกันเสรีภาพออนไลน์ให้กับผู้ใช้ในประเทศไทยได้มากนัก นับตั้งแต่เปิดสำนักงานในประเทศไทยข่วงปลายปี 2558 เฟซบุ๊กตอบรับตามคำขอจากทางการไทยในการระงับการเข้าถึงข้อความที่ถูกโพสต์ออนไลน์ไปแล้วประมาณ 30 ครั้ง
การละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพออนไลน์โดยทางการไทยยังรวมถึงกรณีการโพสต์ภาพ “ขันแดง” [3] การกดไลค์ภาพล้อเลียนสุนัขทรงเลี้ยง การวิจารณ์นโยบายของรัฐบาล การโพสต์ข้อความตำหนิทหาร และล่าสุดกับการตอบข้อความส่วนบุคคลว่า “จ้า” [4] โดยแม่ของนักกิจกรรมฝ่ายต่อต้านรัฐบาล เรียกง่ายๆ ว่าการสื่อสารใดๆ ก็ตามที่ทางการไทยระบุว่าเป็นการสร้าง “ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน” หรือ “ความเข้าใจผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์สถาบันกษัตริย์” ล้วนแต่ถูกปราบปรามอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ ทางการไทยยังคงปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันกษัตริย์ แม้ว่าการถูกควบคุมตัวจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของครอบครัวนั้นๆ อย่างร้ายแรง เพราะผู้ที่โดนควบคุมตัวบางคนเป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว
ในทศวรรษแห่งการไร้เสถียรภาพและแตกแยกทางการเมืองหลังรัฐประหารปี 2557 การปราบปรามและการใช้กำลังต่อฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเกิดขึ้นอย่างเต็มกำลังและต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มที่เป็นฝ่ายตรงข้ามจริงๆ และกลุ่มที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งมีผู้สนับสนุนกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกขอเรียกร้องให้ทางการไทยปล่อยตัวผู้ใช้เฟซบุ๊กทุกคน [5]ที่ถูกจับเพียงเพราะแสดงความคิดเห็นอย่างสงบทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข ตลอดจนหันมาคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามพันธกรณีและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดโดยเร็ว
หมายเหตุ: บทความนี้เรียบเรียงจากเอกสารของสำนักเลขาธิการใหญ่ [6] แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
Links
[1] http://www.moi.go.th/image/rule_computer/law-comter1.pdf
[2] http://www2.ohchr.org/english/issues/opinion/articles1920_iccpr/docs/experts_papers/schmidt.doc
[3] http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1459235752
[4] http://freedom.ilaw.or.th/blog/Points-of-concern-about-the-charge-against-Thai-anti-junta-activists-mother
[5] https://www.amnesty.or.th/news/press/814
[6] https://www.amnesty.or.th/sites/default/files/attachments/ua_facebook_8_eng.pdf